'สันโดษ' จริงๆแล้วเป็นเรื่องดีในทางพระพุทธศาสนา
"สันโดษ" แปลว่า ยินดี ชอบใจ พอใจ อิ่มใจ จุใจ สุขใจ กับของของตน ความหมายโดยย่อก็คือ ให้รู้จักพอ รู้จักประมาณ
เรื่องสันโดษ เป็นเรื่องหนึ่งที่มีผู้เข้าใจผิดกันมาก เข้าใจกันว่าสันโดษทำให้ยากจน เข้าใจว่าสันโดษทำให้เกียจคร้าน เข้าใจว่าสันโษขัดขวางความเจริญ ขอให้เรามาพิจารณาเกี่ยวกับสันโดษให้เข้าใจชัดเจนจะได้ทราบว่าสันโดษนั้นเป็นคุณ มิใช่โทษ
คนจำนวนมากเข้าใจสันโดษผิด คิดว่าสันโดษคือการไม่ทำอะไร หรือการพอใจอยู่คนเดียว การไม่ทำอะไรนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า "โกสัชชะ" คือเกียจคร้าน ไม่เรียกว่าสันโดษ
การพอใจอยู่คนเดียวนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า "ปวิวิตตะ" ไม่เรียกว่าสันโดษ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเข้าใจในเรื่องสันโดษนั้น ไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้าน ท้อถอย ไม่ทำงาน หรือทำงานเรื่อยๆ เฉื่อยๆ และเป็นภัยต่อความเจริญ ความก้าวหน้าอย่างที่เข้าใจกัน ตรงกันข้าม มงคลข้อนี้ชี้เห้เห็นเด่นชัดว่า ถ้าแต่ละคนรู้จักสถานภาพของตนเอง สำนึกในความสามารถ และความมีคุณธรรม ของตนอยู่เสมอแล้ว ความมีสันโดษจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเ จะทำให้ทุกคนพอใจกับตนเอง พอใจกับของที่ตนได้มา และพอใจกับของที่สมควรแก่ตน จะไม่มีการเบียดเบียน แก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยา ฯลฯ
คนทั่วไปไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณในสิ่งต่อไปนี้
1.อำนาจวาสนา เช่น เป็นลูกน้องก็อยากเป็นหัวหน้า ทั้งๆที่ความสามารถไม่ถึง
2.ทรัพย์สมบัติ เช่น มีเงินล้านก็ไม่พอ อยากได้เงินสิบล้าน
3.อาหาร เช่น มีอาหารธรรมดารับประทานก็ไม่พอ อยากจะรับประทานอาหารแพงๆ ตามภัตตาคารหรูๆ
4.กามคุณ เช่น มีสามีหรือภรรยาแล้วก็ไม่พอ อยากจะมีใหม่อีก
วิธีสร้างความสุข สร้างความเจริญก้าวหน้า ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักพอใจกับสิ่งที่ตัวมีอยู่ ไม่ไขว่คว้าทะเยอทะยานจนเกินเหตุ เช่น เป็นหัวหน้าแผนก อยากให้มีความสุขความก้าวหน้าก็ให้พอใจในตำแหน่งของตน แล้วตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ความสุขก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าจะมีมาเอง เป็นสามีหรือภรรยาอยากมีความสุขก็ให้พอใจในคู่ครองของตน แล้วทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ความสงบสุขในครอบครัวก็จะมีมาเอง ไม่ใช่เทีย่ววิ่งวุ่น หาความสุขไม่ได้สักที
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า สันโดษเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นไปเพื่อความเจริญสุขทั้งแก่ตนเองครอบครัว หัวใจของผู้มีความสันโดษเท่านั้น จึงจะเหมาะแก่การปลูกฝังคุณธรรมอื่นๆและคนมีสันโดษเท่านั้นจึงจะทำความดีได้ยั่งยืนไม่จืดจางสังคมพัฒนาไปได้ชข้าเพราะคนขาดสันโดษต่างหาก หาใช่เพราะคนมีสันโดษไม่
ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องมีความสันโดษซึ่งในหลายๆคนจะมีในข้อนี้ หากเราขาดนักวิทยาศาสตร์ไป ถามว่าโลกนี้จะสามารถพัฒนาได้หรือไม่
คนจำนวนมากเข้าใจสันโดษผิด คิดว่าสันโดษคือการไม่ทำอะไร หรือการพอใจอยู่คนเดียว การไม่ทำอะไรนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า "โกสัชชะ" คือเกียจคร้าน ไม่เรียกว่าสันโดษ
การพอใจอยู่คนเดียวนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า "ปวิวิตตะ" ไม่เรียกว่าสันโดษ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเข้าใจในเรื่องสันโดษนั้น ไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้าน ท้อถอย ไม่ทำงาน หรือทำงานเรื่อยๆ เฉื่อยๆ และเป็นภัยต่อความเจริญ ความก้าวหน้าอย่างที่เข้าใจกัน ตรงกันข้าม มงคลข้อนี้ชี้เห้เห็นเด่นชัดว่า ถ้าแต่ละคนรู้จักสถานภาพของตนเอง สำนึกในความสามารถ และความมีคุณธรรม ของตนอยู่เสมอแล้ว ความมีสันโดษจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเ จะทำให้ทุกคนพอใจกับตนเอง พอใจกับของที่ตนได้มา และพอใจกับของที่สมควรแก่ตน จะไม่มีการเบียดเบียน แก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยา ฯลฯ
คนทั่วไปไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณในสิ่งต่อไปนี้
1.อำนาจวาสนา เช่น เป็นลูกน้องก็อยากเป็นหัวหน้า ทั้งๆที่ความสามารถไม่ถึง
2.ทรัพย์สมบัติ เช่น มีเงินล้านก็ไม่พอ อยากได้เงินสิบล้าน
3.อาหาร เช่น มีอาหารธรรมดารับประทานก็ไม่พอ อยากจะรับประทานอาหารแพงๆ ตามภัตตาคารหรูๆ
4.กามคุณ เช่น มีสามีหรือภรรยาแล้วก็ไม่พอ อยากจะมีใหม่อีก
วิธีสร้างความสุข สร้างความเจริญก้าวหน้า ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักพอใจกับสิ่งที่ตัวมีอยู่ ไม่ไขว่คว้าทะเยอทะยานจนเกินเหตุ เช่น เป็นหัวหน้าแผนก อยากให้มีความสุขความก้าวหน้าก็ให้พอใจในตำแหน่งของตน แล้วตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ความสุขก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าจะมีมาเอง เป็นสามีหรือภรรยาอยากมีความสุขก็ให้พอใจในคู่ครองของตน แล้วทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ความสงบสุขในครอบครัวก็จะมีมาเอง ไม่ใช่เทีย่ววิ่งวุ่น หาความสุขไม่ได้สักที
ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องมีความสันโดษซึ่งในหลายๆคนจะมีในข้อนี้ หากเราขาดนักวิทยาศาสตร์ไป ถามว่าโลกนี้จะสามารถพัฒนาได้หรือไม่
Post a Comment